วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ่นสวยด้วยกล้วยหอม

ใน  ”กล้วยหอม”  นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ 


กล้วย หอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม (ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้า ก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น


นอก จากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนัก ขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง


สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่

1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม  ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใย (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย


วิธีปฏิบัติ

1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด
2. หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว
3. ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรด ด่างต่างกัน
4. การดื่มเฉพาะน้ำเปล่า ณ อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
5. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้เต็มที่ เพื่อลดการกินจุบกินจิบระหว่างวัน
6. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น และกินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย
7. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้
8. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น



เห็นไหมคะ หุ่นสวยได้ง่ายเลยค่ะ มาลองทานกล้วยกันนะคะ

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ลด "ความเครียด" ได้ด้วยอาหาร...

มาลดความเครียด ด้วยการทานกันเถอะค่ะ ฮ่าๆๆๆ บางครั้งเราก็ตั้งใจลดความอ้วนจนมากเกินไป เลือกกินอาหารแค่บางประเภท แต่อย่าลืมนะคะว่าเราต้องทำให้ หุ่นสวยสุขภาพดี แบบธรรมชาติ ไม่ฝืน และ ไม่เครียดอีกด้วย ดังนั้นมาดูกันเถอะค่ะ ถ้าเราใส่ใจกับการกินอีกนิดจะได้ประโยชน์ มากทีเดียว ยกตัวอย่างอาหาร ที่ช่วยลดความเครียดมาดูกันค่ะ

 

กล้วย

กล้วยมีสารทริพโทแฟนมาก กระตุ้นการหลั่งของสารเซโรโทนิน ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย แก้อาการซึมเศร้า กล้วยปั่นหอมหวานเย็นๆ ชื่นใจสักแก้ว แค่จิบเดียวก็ทำให้เรายิ้มออก

ชาเขียว

ตัวแม่แห่งวงการอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์ร้อยแปด รวมทั้งช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายเข้าสู่โหมดชิลล์ๆ ภายในเวลาอันรวดเร็ว เป็นเพราะสารสำคัญในชาเขียวที่ชื่อแอล-ธีแอนิน แล้วยังช่วยให้มีสมาธิ และหลับสบายขึ้นด้วย

ปลาแซล์มอน

รวมทั้งปลาทะเล เช่น ทูน่า แม็คแคเรล ฯลฯ มีโอเมก้าสามและเซลีเนียม ทำให้เราจิตใจสงบ ผ่อนคลายความว้าวุ่น บรรเทาอาการจิตตก

ปวยเล้ง

ชื่อภาษาอังกฤษว่าสปินิช–ไม่ใช่สปิแนช และแท้จริงแล้วมันคือผักปวยเล้ง–ไม่ใช่ผักโขม ที่คนไทยอ่านชื่อภาษาอังกฤษผิดและแปลผิดกันมานมนาน  ผักวิเศษนี้ช่วยเสริมสร้างแม็กนีเซียม ซึ่งผู้ที่ขาดสารอาหารนี้จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย จิตใจแห้งเหี่ยว ปวยเล้งอบชีสร้อนๆ ยืดๆ–ทั้งอร่อยทั้งมีประโยชน์

ถั่วอัลมอนด์ พิสทาชิโอ และวอลนัท

การกินถั่วหลากหลายชนิดเพียงแค่กำมือเดียวก็ทำให้หาย เครียดได้ ถั่วมีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายที่ช่วยเสริมสร้างสารอาหารที่หายไปในขณะ ที่เราจิตใจระส่ำระสาย

มันเทศ

เวลาเครียด ร่างกายจะเรียกร้องอยากบริโภคคาร์โบไฮเดรทกับน้ำตาล แทนที่จะพุ่งไปกินโดนัทหรือขนมเค้ก เปลี่ยนมากินมันเทศแทนจะดีกว่า เพราะเป็นคาร์โบไฮเดรทชั้นดี ชื่อภาษาอังกฤษคือสวีทโพเทโท อย่าสับสนกับมันฝรั่งนะคะ

ถั่วเหลือง

รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ฯลฯ มีโพรทีน วิตะมินบี แคลเซียม และแม็กนีเซียมสูง ลดความเครียด แล้วยังมีพลังพิเศษทำให้ร่างกายตื่นตัว คึกคัก กระฉับกระเฉง

ข้าวกล้อง

รวมทั้งตระกูลธัญพืชไม่ขัดสีทั้งหลาย และขนมปังโฮลวีท เหล่านี้เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรทชั้นดี มีวิตะมินบีสูง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ กระตุ้นการหลั่งของสารเซโรโทนินที่ทำให้อารมณ์ดี และยังมีใยอาหารมาก โอ๊ย–ดีไปหมด

ส้ม

เวลาเราเครียด ร่างกายจะหลั่งสารอนุมูลอิสระออกมามากเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำให้แก่เร็ว (กรี๊ด…) วิตะมินซีนี่แหละที่เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยกำจัดผู้ร้ายที่ชื่ออนุมูล อิสระ ช่วยคลายความเครียด และปรับความดันเลือดที่พุ่งขึ้นสูงปรี๊ดเวลาเราโกรธหรือเครียดให้ลดเป็นปกติ เวลาปอกเปลือกส้มแค่ได้กลิ่นหอมสดชื่นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ในพริบตา

บร็อคโคลี่

รวมทั้งผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง มีวิตะมินที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายในยามที่เราเครียด มีโพแทสเซียมสูง ทำให้ระบบประสาทผ่อนคลาย บร็อคโคลี่นึ่งราดน้ำสลัดงาแบบญี่ปุ่นเป็นอาหารจานผักยอดนิยมในยุคนี้ แต่ถ้าฝืนกระเดือกเข้าไปไม่ได้จริงๆ ลองทำเป็นซุปบร็อคโคลีเนื้อครีมเข้มข้นหอมหวานทานง่าย

เห็นไหมคะว่าสารอาหารและวิตามินต่างๆ ซ่อนใว้อยู่ในของที่เราทาน และการทานก็ทำให้เราผ่อนคลายได้อีกด้วย เลือกทานในสิ่งที่ดีต่อร่างกายนะคะ



วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขัดผิวขาวใส กับการขัดผิวอย่างถูกวิธี

ผิวขาว เป็นอีก วิธีหนึ่งที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ นั้นอยากมีกันอย่างมาก แต่ก่อนที่เราจะ เริ่มทำการขัดผิว มีใครรู้บ้างว่าการขัดผิวนั้นคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และ ควรทำเมื่อไรและเท่าไรดี จริง ๆ แล้วการขัดผิว หรือ Exfoliating หมายถึง การที่เรานั้นได้ ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา ดังนั้นการขัดผิว ก็เหมือนการเผยผิวที่กระจ่างใสของเราที่โดนเซลล์ผิวเก่าของเราปิดบังซ่อนเอา ไว้อยู่นั้นเอง

การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งใช่อุปกรณ์ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม หินขัด หรือ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวล และ ไม่ทำบ่อยจนเกินไปเพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหวและไม่สามารถทนแดด และจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2 - 4 สัปดาห์ แต่หากอายุ เรามากกว่า 20 ปี ขึ้นไปแล้วการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อย ๆ แต่การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส 

ประโยชน์ของการขัดผิวขาวให้สวยใส ตามรูปแบบของผิวผู้หญิงแต่ละประเภท
  • ผู้หญิงที่ผิวแห้ง การขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป และช่วยให้ครีมต่าง ๆ สามารถบำรุงและดูดซึมสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
  • ผู้หญิงผิวผสม การขัดผิวจะช่วยลดการเกิดสิว และทำให้ผิวเนียนเรียบ มีสีผิวที่เสมอกันอีกด้วย
  • ผู้หญิวผิวหน้ามัน การขัดผิวจะทำให้รูขุมขนนั้นสะอาดขึ้น และช่วยลดการอุดตันของสิว และลดรอยดำได้เป็นอย่างดี
  • สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาริ้วรอย การขัดผิวจะเป็นตัวไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ช่วยลดริ้วรอยและผิวกระจ่างใสอ่อนวัยกว่าคนที่ไม่ได้ขัดผิวเลย
  • ผู้หญิงที่มีผิวแตกลาย ต้องขัดผิวด้วยฟองน้ำนุ่ม ๆ ที่ทำการแช่น้ำจนนิ่ม ทำทุกวันช่วยลบเลือนริ้วรอยให้จ่างลงได้เป็นอย่างดี พร้อมกระตุ้นการไหลของเลือกอีกด้วย
ขัดผิวขาวใสอย่างไรให้เหมาะสม

การขัดผิวนั้นไม่ควรทำมากจนเกินไป เพราะนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังอาจจะทำลายผิวของตัวเราเองอีกด้วย การขัดผิวหน้าควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง และไม่ควร ทำติดกันอาจจะเว้น 3 - 4 วัน หรือ ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเหมาะสมที่สุด การขัดผิวเรือนกายนั้นควรทำประมาณ 2 ครั้งต่อเดือน โดยการขัดผิวกายนั้นให้ทำการขัดเป็นวงกลม เบา ๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยนะค่ะ

วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง

สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้าอาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขายก็ได้ค่ะ

เริ่มต้นที่

- ทำผิวเปียกเสียก่อน
- นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ
- แล้วทาลงบนผิวเบาๆ
- นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆเพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน
- ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นสูง ในขณะที่ผิวยังชื้นๆอยู่

ผลลัพธ์ที่ได้

ก็คือผิวที่เรียบเนียน ดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดีและเปล่งประกายสดใส ทำให้ผิวชั้นในได้หายใจง่ายขึ้นอีกด้วย

เห็นไหมคะ ว่าการที่มีผิวขาวเนียนกระจ่างใสนั้นไม่ยากเลย แล้วยังสามารถทำเองได้อีกด้วยค่ะ

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ออกกำลังกายใต้น้ำ


เย้ๆๆๆมาแล้วค่ะ " มาออกกำลังกายกันเถอะ เพื่อหุ่นที่สวยและสุขภาพที่ดี " ทุกคนก็เห็นด้วยใช่ไหมค่ะ แต่.. การที่เราจะเริ่มออกกำลังกายนั้นมันไม่ง่ายเลย ไหนจะปวดเมื่อย เหนื่อย ร้อน เฮ้ออ... แค่คิดจะเริ่มออกกำลังกายก็ยากซะแล้ว แต่ถ้าเราเริ่มต้นออกกำลังกายอยากถูกที่ ถูกแบบ จะช่วยให้การเริ่มออกกำลังกาย สนุก ลดความเมื่อยล้า สบาย และติดใจได้อีกด้วย การออกกำลังกายใต้น้ำคือจุดเริ่มต้นของการเริ่มออกกำลังกายอีกทางหนึ่ง ซึ้งจะช่วยให้คนที่มีน้ำ้นักมาก ผู้มีอาการบวดเมื่อยตามร่างกาย ผู้สูงอายุ หรือแม่แต่ผู้เริ่มต้นออกกำลังกายมีสุขภาพที่ดีได้ไม่ยากเลยค่ะ

วารีบำบัดหรือการออกกำลังกายในน้ำ จะสนุก ง่าย และช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงได้เหมือนกับออกกำลังกายบนบกทั้วๆไปค่ะ แต่วิธีนี้นอกจากจะไม่รู้สึกเหนื่อยแล้ว ยังลดความเมื่อยล้า และลดการกระแทกหรือการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายแบบอื่นอีกด้วย แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วยนะคะ ที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเป็นก็ทำได้ค่ะ


ประโยชน์ จากการออกกำลังกายในน้ำช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ผู้ปฏิบัติยังสามารถยืดเหยียดกล้ามเนื้อในท่าต่าง ๆ ได้ โดยมีข้อจำกัดน้อยกว่าการออกกำลังกายบนบก เพราะน้ำจะมีความหนืด คอยพยุงตัว ทำให้ตัวเบา และลดแรงกระแทก

ทาง การแพทย์ระบุไว้ว่า การออกกำลังกายในน้ำยังเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน-ผู้สูงอายุ เพราะช่วยลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระดูก ข้อ หรือกระดูกพรุน รวมไปถึงผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน และการออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรง ทั้งยังสามารถปรับใช้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์

สำหรับ สระว่ายน้ำที่นิยมใช้เป็นบริเวณออกกำลังกายนั้นมักจะต้องมีระดับน้ำที่ผู้ ปฏิบัติสามารถยืนได้โดยไม่จมน้ำ ดังนั้นผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็สามารถปฏิบัติได้

อย่าง ไรก็ตาม การออกกำลังกายด้วยวิธีดังกล่าวอาจมีการใช้อุปกรณ์เสริม อาทิ ทุ่นหรือห่วงยางรูปทรงต่าง ๆ ช่วยพยุงตัว และอาจมีราวจับเพื่อช่วยยึดเกาะระหว่างออกกำลังกายในบางท่า

การ เตรียมตัวก่อนเริ่มกายบริหารในน้ำเพียงแค่วอร์มอัพกล้ามเนื้อ ส่วนระยะเวลาในการเอ็กเซอร์ไซส์อยู่ที่ 15-45 นาที ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์

เพียงเท่านี้ คุณก็มีสุขภาพดีได้แล้ว เห็นไหมคะ การออกกำลังกายก็สนุกได้เหมือนกันค่ะ 

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กินของว่างแบบไม่อ้วน

เรื่องของความอ้วนกับสาว ๆ เป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะถูกกัน วันนี้เราเลยมาเอาใจสาว ๆ ที่ชอบกินระหว่างมื้อด้วยเทคนิคการกินของว่างไม่ให้อ้วนกันค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง...

กฎของการกินของว่างไม่ให้อ้วน คือ กินไม่เกิน 100 แคลอรี่ ต่อ 1 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาอาหาร แต่ควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยสูง เช่น ผลไม้ เป็นหลัก จากนั้นก็ค่อยเพิ่มโปรตีนหรือไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อให้อิ่มได้นานขึ้น เช่น 


ถ้าอีก 1 ชั่วโมง จะถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป ก็ให้ทานแอบเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล

ถ้าอีก 2 ชั่วโมง จะเป็นเวลาอาหารมื้อต่อไป ให้ทานแอบเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล กับเนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ 

ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะได้เวลาในอีก 3 ชั่วโมง ให้ทานแอบเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล  เนย ถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ และแคร็กเกอร์ธัญพืช 5 แผ่น

และถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 4 ชั่วโมง 
ก็ให้ทานแอบเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ แคร็กเกอร์ธัญพืช 5 แผ่น และนมสดชนิดพร่องไขมัน 1 แก้ว




หรือพอเริ่มบ่าย สาวๆ หลายคนก็เริ่มหิวอีกแล้ว อ้าว แล้วที่บอกว่าจะลดน้ำหนัก อยากหุ่นดี จะทำยังไงดีหล่ะ

ไม่ต้องเครียดไป ทางออกของคุณอยู่ที่ของว่างดีๆ สามอย่างนี้นี่เอง

1.ลูกเกด รู้ไหมว่าลูกเกดนี่แหละคือแหล่งพลังงาน มันเต็มไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ที่จะช่วยทำให้เราสดชื่น และเต็มอิ่ม ที่สำคัญ ลูกเกดมีไขมัน และแคลอรี่น้อยมาก กินแล้วไม่อ้วนแน่นอน
2.ชาขิง การดื่มชาขิงสักแก้วยามบ่ายอาจไม่ทำให้คุณอิ่ม แต่น้ำขิงมีคุณสมบัติช่วยระบาย ทำให้คุณสบายท้อง และช่วยดูแลระบบทางเดินอาหารของคุณ ทำให้ร่างกายสดชื่น และช่วยให้รูปร่างดีอีกด้วย

3.โยเกิร์ต รู้กันอยู่แล้วว่าโยเกิร์ตเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ว่าจัดอันดับเรื่องอะไร ต้องมีชื่อนี้อยู่ด้วย ทั้งนี้เพราะในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายของคุณขับของเสียได้ดี และในโยเกิร์ตยังมีสารช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ทำให้ยามบ่ายของคุณสดใสขึ้นอย่างแน่นอน

ทีนี้ ก็ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกแล้ว เป็นเรื่องธรรมชาติที่ใคร ๆ ก็ต้องการมีรูปร่างที่ดูดี ฉะนั้น ใครที่ชอบกินจุบจิบ แต่ไม่อยากอ้วนก็ลองกินตามที่เราแนะนำดูนะคะ... 

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หุ่นสวยด้วยโยคะ

การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่เรา ไม่ค่อยได้สนใจดูแลสุขภาพกันเท่าใดนัก โดยมากมักอ้างเหตุผลง่ายว่าไม่มีเวลา จึงเป็นที่น่าเสียใจยิ่งนักเพราะร่างกายเราก็เหมือนเครื่องจักร เหมือนรถยนต์ หากเราใช้งานไปทุกๆวันไม่บำรุงดูแลรักษา สักวันร่างกายเราก็ทรุดโทรม เกิดการเจ็บป่วย

คุณทราบไหมว่า...หลายพันปีมาแล้ว ชาวตะวันออก เช่น ชาวจีนและชาวอินเดียโบราณ ค้นพบวิธีรักษาร่างกายให้แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ จากกิริยาท่าทางของสัตว์ในป่าลึกว่า มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง แล้วประดิษฐ์เป็นท่าโยคะออกมาได้หลายพันท่า หลาย ๆ ท่ามีชื่อเรียกตามชนิดสัตว์ อาทิ ท่าปลา ท่านกยูง ท่างูเห่า ฯลฯ

ดังนั้นเราจึงขอแนะนำโยคะเพื่อสุขภาพ โดยการเล่นโยคะ นั้นไม่ยากอย่างที่คิด บางครั้งก็สามารถฝึนเอง และเรียนโยคะ ได้ด้วยตัวเอง ตามคลิปโยคะ โดยทำตามท่าฝึกโยคะ หรือจะแวะไปฟิตเนตใกล้บ้านท่านก็ได้ หากสะดวก แล้วจะมีหุ่นสวยสุขภาพดีได้โดยไม่ยากเลย

โยคะ เป็นศาสตร์ของการบริหารร่างกายและจิตใจ ซึ่งสามารถช่วยบริหารต่อมฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้ นก่อนจะทำการฝึกโยคะในแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องมีการอบอุ่นร่างกายก่อน แต่สามารถทำได้ทันทีในเวลาที่เหมาะสม ในช่วงที่ท้องว่างก่อนกินอาหารในช่วงเช้าหรือเย็น หรือช่วงหลังการกินอาหารแล้วประมาณ 2½-3 ชั่วโมง

การฝึกโยคะที่สำคัญอยู่ที่การทำเป็นประจำ และทุกครั้งที่ทำ สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ ความคิดและลมหายใจ สติของเราต้องอยู่ที่การเคลื่อนไหวของร่างกาย ลมหายใจ และความคิดในสิ่งที่ดี เช่น หายใจเข้า เราได้รับพลังที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติ ได้รับความรู้สิ่งที่ดีๆ เข้ามา และเมื่อเราหายใจออก เราเอาความเหนื่อย ความเครียด อารมณ์ไม่ดีต่างๆ ออกไปจากตัวเรา ดังคำที่ควรระลึกอยู่ในใจขณะปฏิบัติ ดังนี้

(หายใจเข้า)    (หายใจออก)


จุดสำคัญของการฝึกโยคะ คือ ผ่อนคลายจิตใจที่หมกมุ่นสับสน ให้มารวมอยู่กับการออกกำลังกายทำให้เกิดเป็นสมาธิขึ้น สิ่งที่ทำให้โยคะต่างไปจากการออกกำลังกายอื่นก็คือ เมื่อทำแล้ว ร่างกายและจิตใจได้รับการพักผ่อนเต็มที่หลังการปฏิบัติ คุณจะรู้สึกได้ว่าร่างกายเบา จิตใจแจ่มใส


โยคีโบราณพบว่าร่างกายคนเรามีต่อมไร้ท่อที่ผลิตฮอร์โมนออกมา อันเป็นฮอร์โมนที่ส่งผลต่ออารมณ์ต่อความรู้สึกของคนเรา การฝึกโยคะจะช่วยบริหารต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานสมดุลกัน ดังนั้น โดยหลักของโยคะ จะมีผลต่อการควบคุมสภาพจิตใจและอารมณ์ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของโยคะ มิได้อยู่ที่ "ท่าทาง" หากอยู่ที่ "ลมหายใจและความคิด" ในขณะที่ทำ ยกตัวอย่างเช่นการหายใจเข้า รับเอาพลังความรักเข้ามาสู่ตัวเรา หายใจออก เอาความเหนื่อยล้า ความเครียดออกไปจากตัวเรา ต้องคิดแต่สิ่งดี ๆ จิตใจก็จะสงบไม่ ยุ่งเหยิง เหตุที่โยคะเป็นท่าที่ต้องทำพร้อมกับควบคุมลมหายใจ การจดจ่อกับท่าทาง และการหายใจ ทำให้ใจคอว่อกแว่กยาก จึงส่งผลก่อให้เกิดเป็น สมาธิ สติ เป็นการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วยพร้อม ๆ กัน

เป้าหมายสูงสุดจริง ๆ ของโยคะ คือ 

 - Physical Fit ร่างกายแข็งแรง 
 - Mentally Strong จิตใจเข้มแข็ง
 - Spiritual Elevated มีสปิริต มีจิตใจที่เปิดกว้าง



คุณอาจเริ่มครั้งแรกในเวลาว่างเพียง 5 นาที แรก ๆ อาจขลุกขลัก ไม่เห็นผล แต่ขอให้ลองไปอีก 2-3 ครั้ง ฝึกแบบรีแล็กซ์ ผ่อนคลายอาจเปิดเพลงเบา ๆ คลอไปด้วยก็ได้ คุณจะเริ่มรู้สึกดีขึ้นจิตใจและสมองแจ่มใสขึ้น ก็จะเกิดกำลังใจทำต่อ เพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ 10 นาที 15 นาที เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับคุณ                

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เห็ด 3 อย่าง สร้างความมหัศจรรย์


เห็ดเป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง ช่วยในการล้างพิษ ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังไม่มีสารตกค้างอย่างเนื้อสัตว์ แต่ถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิดมาปรุงเป็นอาหาร จะเกิดประโยชน์ขึ้นอย่างมาก 


โปรตีนในเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวมกันประกอบอาหารแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ด ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโนที่บำรุงสมอง ปรับสมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย  ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ

ประโยชน์ของเห็ดสามอย่างเมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร
- ล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ
- ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็ง

- ใช้เป้นอาหารแคลอรี่ต่ำ ในการลดน้ำหนักได้อีกด้วย


เห็ดที่นำมาใช้ คือ เห็ดที่กินได้ เช่น เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง ล้างน้ำให้สะอาด ก่อนปรุงอาหาร


วิธีการปรุง 

- นำเห็ดที่ทานได้อย่างน้อย 3 อย่าง เช่น เห็ดหูหนูต่างๆ เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดโคลน เห็ดเข็ม

- ปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำ ใส่ในแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม ไข่ตุ๋น

- ต้มน้ำดื่ม จะผสมใบมะตูม ใบเตยหรือเพิ่มน้ำตาลกรวดก็ทำให้หอม อร่อย และมีประโยชน์เพิ่ม

- หลีกเลี่ยงการผัดกับน้ำมันพืช 



เพียงเท่านี้คุณก็สามารถดูแลสุขภาพได้อย่างง่ายๆแถมอร่อยอีกด้วยหละค่ะ